Thaipat Institute

GRI Certified Training Partner นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

รู้จัก    CG   ¦   ESG   ¦   CSR   ¦   CSV   ¦   SD   ¦   SE   ¦   SB

ให้การ "ปลูกป่า" เป็นมากกว่าแฟชั่น !!


"จากกระแสโลกร้อนที่ผ่านมาทำให้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่ามีคนสนใจมาปลูกป่าชายเลนในพื้นที่กับเรามากขึ้น บางทีก็มากันเป็นครอบครัว 5-10 คน หรือบางทีบริษัทก็จัดพาพนักงานมาปลูกป่า เฉพาะแค่ในรอบปีที่ผ่านมา เราสามารถขยายพื้นที่ป่าได้มากถึง 78 ไร่ หรือปลูกต้นไม้ไปเกือบหนึ่งแสนต้น ซึ่งโดยปกติเราไม่สามารถทำได้มากถึงขนาดนี้..." จ่าสิบเอกนิเวช ชูปาน เจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมศึกษา ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก บางปู เล่าให้ฟังถึงความตื่นตัวของคนในสังคม ตลอดจนองค์กรธุรกิจ จากกระแสรณรงค์เรื่องปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

แม้ในฐานะคนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม เขามีข้อเป็นห่วงว่า ทุกวันนี้หลายพื้นที่การปลูกป่าถูกจัดขึ้นแค่เป็นกิจกรรม โดย หลงลืมการมองความยั่งยืนในระยะยาว ทำให้อัตราการรอด ของต้นไม้แทบจะไม่มี รวมไปถึงความไม่เข้าใจในพื้นที่ เช่น การนำไม้พันธุ์ต่างถิ่นมาปลูก การปลูกโดยไม่ใส่ใจถึงวิธีการ ปลูกที่ถูกต้อง รวมไปถึงการไม่มีงบประมาณในการดูแลรักษา ซึ่งต้องใช้เวลาดูแลต่อจากวันที่ปลูกไปอย่างน้อยก็ 2-3 ปี

นี่เป็นเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่ มองความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นจากกิจกรรม "ปลูกป่า" ยอดนิยม และทำให้กิจกรรมในลักษณะนี้ของหลายองค์กรในวันนี้ถูกมองเป็นเรื่องของแฟชั่น บางครั้งก็เป็นแค่กิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่ผิวเผิน

อะไรคือทางออกและจะสามารถก้าวพ้นสิ่งที่ว่านั้น !!

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่อง CSR กล่าวว่า "แม้แต่กิจกรรมปลูกป่า ถ้าเรามองในเชิงนวัตกรรม CSR ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ โดยเฉพาะวันนี้ถ้าเราคุยกับผู้เชี่ยวชาญจะรู้ว่าป่าที่ไปปลูกๆ กันมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รอด เพราะสิ่งสำคัญกว่านั้นคือการดูแลรักษาให้ต้นกล้าแข็งแรงและเติบโตซึ่งต้องใช้งบประมาณในการดูแลรักษาต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่งถ้าสมมติว่ามีองค์กรใดองค์กรหนึ่งเข้าไปเลือกที่จะดูแลรักษาต้นไม้อย่างเดียว อย่างนี้ผมถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างความ แตกต่างได้ และถือเป็นนวัตกรรม"

ทั้งนี้ต้องมองความต้องการของสังคมเป็นฐานบวกกับวิธีคิดที่แตกต่าง !!

เมอร์ค : Care for Green
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เช่นเดียวกับวันหยุดอื่นๆ ที่องค์กรธุรกิจมักจะเข้ามาจัดกิจกรรมปลูกป่าที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ กองทัพบก บางปู แต่ผิดกันก็ตรงที่ครั้งนี้ถือเป็นการระดมคนที่เข้ามาลงแรงในการปลูกป่ามากถึง 1,000 คน ซึ่งถือเป็นคณะที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่นี้ โดยมีเป้าหมายในการปลูกต้นไม้กว่า 12,000 ต้น ในช่วงระยะเวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง ภายใต้โครงการ "Care for Green : รักษ์ผืนป่ากับเมอร์ค ประเทศไทย ครั้งที่ 2" เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์การลดความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยร่วมมือกับมูลนิธิ Plant-A-Tree Today รวมไปถึงกองทัพบกและเทศบาล เมืองสมุทรปราการ

บริษัทตั้งต้นด้วยการบริจาคต้นไม้ 2,008 ต้น ส่วนที่เหลือเป็นต้นไม้ที่ได้มาจากการบริจาคของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ลูกค้า ซัพพลายเออร์ กระทั่งผู้ถือหุ้น โดยเปิดโอกาสให้คนเข้ามามีส่วนร่วมและสามารถซื้อต้นไม้บริจาคต้นละ 40 บาท ซึ่งเป็นราคาของต้นกล้ารวมกับงบประมาณในการดูแลรักษาต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ปี

แม้จำนวนคนเข้าร่วมงานจะเป็นเครื่องชี้วัดของความสำเร็จหนึ่งที่น่าสนใจของบริษัทที่มีพนักงานเพียง 190 คน แต่จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมกลับไม่ใช่เป้าหมายปลายทางของกิจกรรมนี้ทั้งหมด หัวใจของกิจกรรมนี้อยู่ที่การสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร โดยดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม กิจกรรมเล็กๆ ที่ถูกเสริมเข้าไปคือการสร้างมัคคุเทศก์น้อยจากโรงเรียนในพื้นที่ ซึ่งได้รับการอบรมด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะทำหน้าที่ให้ความรู้เรื่องระบบนิเวศและการปลูกป่าที่ถูกวิธีกับอาสาสมัครที่ลงพื้นที่ปลูกป่า

ในเวลาเดียวกันยังสามารถตอบโจทย์สำคัญในการขับเคลื่อน CSR ของเมอร์คในการสร้างความสัมพันธระหว่างพนักงานและลูกค้า ทั้งยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ CSR ที่ 1 ใน 3 ด้านคือการดูแลสิ่งแวดล้อม

"เราเห็นว่าที่ผ่านมาภายในกระบวนการทำธุรกิจเราทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมามากมาย แต่เราต้องการเปิดโอกาส ให้ลูกค้าและพนักงานได้มีส่วนร่วมในการตระหนักต่อสิ่งแวดล้อม เราถึงมาทำเรื่องปลูกป่า ที่สำคัญเมื่อหัวใจหลักอีกอย่างหนึ่งของกิจกรรมเราอยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและพนักงาน การได้มาร่วมประสบการณ์ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกัน ทำให้ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้" สุวรรณา สมใจวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัท เมอร์ค ประเทศไทย กล่าว

CSR ฉบับบูรณาการ
ที่ผ่านมาเป้าหมายหลักของการทำงาน CSR อยู่ที่การสร้างการมีส่วนร่วม โดยมีการบูรณาการ CSR ลงไปในทุกกิจกรรมขององค์กร รวมไปถึงกิจกรรมการตลาดของบริษัท เช่น การนำเงินรายได้จากค่าสัมมนาเข้ามูลนิธิรักษ์ไทย การทำกิจกรรมในการประชุมประจำปีเพื่อระดมเงินบริจาคให้เด็กพิการ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้กลายเป็นประเพณีปฏิบัติที่ทำกันในบริษัท

การบูรณาการ CSR ในรูปแบบนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

จากการสำรวจความคิดเห็นพนักงานทุก 6 เดือนของบริษัท พบว่าพนักงานมีความพึงพอใจ คะแนนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทนั้นได้ 100% ในขณะที่ผลการสำรวจความคิดเห็นลูกค้า แนวโน้มเรื่องความพึงพอใจกับความรับผิดชอบต่อสังคมที่บริษัททำก็มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง

หาจุดสมดุล "นโยบาย-การมีส่วนร่วม"
หากพิจารณาจากกรณีศึกษาขององค์กรธุรกิจที่ผ่านมา ดร.พิพัฒน์ บอกว่า "ผลจากการศึกษาวิจัยวิสาหกิจที่ผ่านมาพบว่าเงื่อนไขสำคัญ 2 เรื่องในการจะขับเคลื่อน CSR ไปสู่ความสำเร็จ คือ การหาจุด สมดุลจากการมีส่วนร่วมจากพนักงาน และจากการให้ความสำคัญของผู้บริหารเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผ่านการกำหนดนโยบายและปฏิบัติเป็นแบบอย่าง"

การเริ่มต้นจัดทัพ CSR ที่บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ดูเหมือนเลือกที่จะเดินในทิศทางนี้ ในการเคลื่อนขบวน CSR อย่างเป็นระบบในปีแรก

พร้อมๆ กับการเปิดตัวโครงการ "คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน" ซึ่งโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าชุมชน โดยร่วมมือกับกรมป่าไม้ และใช้เวทีการประกวดป่าชุมชนเป็นต้นทางในการกระตุ้นเพื่อให้เกิด กระบวนการในการอนุรักษ์และพัฒนาป่าอย่างเข้มแข็ง

ที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมให้ "พนักงาน" ลงไปปลูกป่าในพื้นที่ป่าชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีนัยของการสร้างจิตสำนึก เรียนรู้ถึงความสำคัญและการมีส่วนร่วมกับกิจกรรม CSR หลักในเรื่องของป่าชุมชน

สร้างคน-สังคม
ณรงค์ สีตสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เป็นเรื่องที่ดีที่พนักงานจะได้มีโอกาสเรียนรู้ว่าบริษัทกำลังจะทำอะไร เราพยายามสร้างให้เขามีส่วนร่วมกับสิ่งที่บริษัทกำลังทำ นับตั้งแต่วันแรกในการประชุมประจำปีนอกสถานที่ของพนักงานในบริษัท เราเปิดโอกาสให้มีการระดมสมองว่า ถ้าเราจะต้องทำกิจกรรมเพื่อสังคมภายนอก เราจะทำอะไรกัน มีประเด็นต่างๆ ที่ถูกหยิบยกมามากมาย จากนั้นเราใช้เวลากว่า 6 เดือนเพื่อที่จะคัดกรองโดยตั้งอยู่บนพื้นฐาน 2 เรื่อง 1.การเกิดผลในวงกว้าง 2.เป็นเรื่องที่ยังไม่มีคนทำ เพื่อที่เราจะได้เข้าไปเกื้อกูลในระยะยาว แม้ระยะแรกเราจะวางไว้เพียง 5 ปี แต่ในระยะยาวเราไม่ได้มองจุดสิ้นสุด และจะทำไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ"

แม้จะอีกยาวไกลกว่าไปถึงปลายทาง แต่อย่างน้อยก็สามารถสะท้อนวิธีคิดของการ "ปลูกป่า" ไม่ว่าจะในรูปแบบของกิจกรรมเสริมหรือกิจกรรมหลัก แต่หากผ่านการคิดและการทำอย่างเป็นระบบ การปลูกป่า นอกจากจะสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับสิ่งแวดล้อม ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ตามมา และอาจทำให้การปลูกป่าก้าวไปไกลกว่าคำว่า "แฟชั่น" !!


[Original Link]